สีอึบอกสุขภาพลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่ท่านใดได้ยินคำนี้ในตอนแรก ก็อาจจะรู้สึกว่า เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? แต่พวกเราขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า “เป็นเรื่องจริง” เพราะการสังเกตสีของอึ หรือสีอุจจาระของลูกน้อย เป็นหนึ่งในวิธีเบื้องต้น ที่ช่วยบ่งบอกสุขภาพภายในของเด็กได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร การแพ้อาหาร จนถึงภาวะร้ายแรงอย่างการติดเชื้อในลำไส้
สำหรับพ่อแม่มือใหม่ ที่ยังไม่แน่ใจว่าควรดูสีอุจจาระของลูกน้อยอย่างไร บทความนี้ แม่และเด็ก จะช่วยอธิบายว่า สีอึบอกสุขภาพลูกน้อยได้อย่างไร พร้อมวิธีแยกแยะสีและลักษณะของอุจจาระที่คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกต
ทำไมสีอึถึงสำคัญกับสุขภาพลูกน้อย?
สีของอุจจาระของลูกน้อย มักเปลี่ยนแปลงตามพัฒนาการของระบบย่อยอาหาร ชนิดของน้ำนม หรือช่วงวัยที่เริ่มกินอาหารเสริม ซึ่งการเปลี่ยนสีบางอย่างเป็นเรื่องปกติ แต่บางสีอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรค ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกต “สีอึบอกสุขภาพลูกน้อย” อย่างสม่ำเสมอ

สีอึบอกสุขภาพลูกน้อย แล้วสีอึแบบไหนที่ “ปกติ”
- สีดำเหนียว พบบ่อยใน 1–3 วันแรกหลังคลอด เป็นสิ่งตกค้างที่ทารกกลืนเข้าไปในครรภ์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติในช่วงแรกเกิด
- สีเหลืองมัสตาร์ด พบในทารกที่กินนมแม่ อึจะมีลักษณะเหลว มีกลิ่นอ่อน ไม่เหม็น และมักถ่ายบ่อย
- สีน้ำตาลอ่อนหรือเหลืองเข้ม พบบ่อยในเด็กที่กินนมผสมหรือเริ่มอาหารเสริม สีนี้ถือว่าเป็นปกติ หากไม่มีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น ถ่ายแข็งหรือปวดท้อง
- สีเขียวอ่อน อาจเกิดจากธาตุเหล็กในนมผสม การเปลี่ยนนม หรือระบบย่อยอาหารทำงานเร็วเกินไป ไม่ถือว่าผิดปกติ แต่ควรสังเกตลักษณะอึและพฤติกรรมร่วมด้วย
สีอึของลูกน้อยแบบไหน ที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวัง
- สีแดง (มีเลือดปน) อาจเป็นสัญญาณของการแพ้นมวัว แผลที่ลำไส้ หรือการติดเชื้อ หากมีมูกเลือดร่วมด้วยควรพบแพทย์ทันที
- สีดำคล้ายยางมะตอย หากเกิน 3 วันหลังคลอดแล้วยังมีอึสีดำ อาจบ่งบอกถึงเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น
- สีขาวซีดหรือเทา เป็นสัญญาณว่าตับทำงานผิดปกติ หรือทารกมีภาวะตัวเหลือง ต้องรีบพบแพทย์
สังเกตลักษณะร่วมกับสีอึ
- อึเหลวและถี่ : หากถ่ายเหลวบ่อย มีกลิ่นเปรี้ยว อาจเป็นอาการท้องเสีย
- อึแข็งเป็นเม็ดเล็ก : บ่งบอกว่าท้องผูก หรือแพ้นม
- มีมูกปน : บ่งบอกอาการลำไส้อักเสบหรือติดเชื้อ
- มีฟอง : พบได้ในเด็กที่ได้รับน้ำนมส่วนหน้ามากเกินไป
สีอึบอกสุขภาพลูกน้อย ได้อย่างแม่นยำ หากรู้วิธีดู ก็อย่าละเลยการสังเกตสีอึของลูกน้อย เพราะสิ่งเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่สำคัญนี้ ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถวินิจฉัย อาการเจ็บป่วยของลูกได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติ ควรปรึกษากุมารแพทย์ทันที เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตอย่างแข็งแรงและปลอดภัยในทุกช่วงวัย