ภาวะซีดในเด็ก ถือเป็นปัญหาที่พบได้ไม่น้อยในปัจจุบัน คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจสงสัย และอาจจะไม่เคยสังเกตลูกน้อยมาก่อนเลยก็ได้ เพราะส่วนใหญ่จะไม่มีอาการทางร่างกายที่ชัดเจน จนกระทั่งลูกน้อยมีอาการซีดที่ชัดเจนและรุนแรงขึ้น หากคุณพ่อคุณแม่ชะล่าใจหรือปล่อยปละละเลย จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของลูกน้อยอย่างร้ายแรงแน่นอน
บทความของ Happybabys แม่และเด็ก ในวันนี้ จะมาแนะนำเรื่องภาวะซีดในเด็ก เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านได้ทำความเข้าใจถึงสาเหตุของภาวะดังกล่าว และสามารถสังเกตอาการของลูกน้อยของคุณได้ ไปจนถึงวิธีการป้องกัน รักษาด้วย หากทุกท่านพร้อมแล้วก็ไปอ่านเนื้อหาของเราได้เลยค่ะ
ภาวะซีดในเด็ก อาการ เป็นอย่างไร
คุณพ่อคุณแม่ สามารถสังเกตอาการของภาวะซีดในลูกน้อยได้ด้วยตัวเอง โดยสังเกตได้จากเปลือกตาล่าง ริมฝีปาก และผิวที่เริ่มมีความซีด ไม่มีเลือดฝาดเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป รวมไปถึงที่เด็กมีอาการอ่อนแพลียในบางครั้ง เบื่ออาหาร ไปจนถึงขั้นเป็นลมหมดสติ หากลูกน้อยมีอาการเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาตัวเด็กไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้อง
สาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดภาวะซีด
โดยส่วนใหญ่แล้ว สาเหตุของการเกิดภาวะซีดในเด็กเกิดขึ้นมาจาก 2 สาเหตุหลัก ดังนี้
- ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก พบในเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนเป็นต้นไป โดยเฉพาะเด็กที่รับประทานแต่นมแม่เพียงอย่างเดียว แต่กินอาหารเสริมมื้อหลักไม่เพียงพอ แม้ว่าหลายท่านจะเคยได้ยินว่า นมแม่จะมีสารอาหารที่ครบถ้วนมากที่สุด แต่หลังจากที่เด็กอายุ 6 เดือนไปแล้ว นมแม่เพียงอย่างเดียวมีธาตุเหล็กไม่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กในแต่ละวัน ส่วนในเด็กโต มักมีสาเหตุมาจากการเลือกรับประทานมากเกินไป เช่น ไม่รับประทานผักใบเขียว ในกลุ่มวัยรุ่นหญิงก็สามารถเกิดภาวะซีดได้เช่นกัน หากมีประจำเดือนแล้วเสียเลือดมาก
- ภาวะซีดที่เกิดจากโรคธาลัสซีเมีย สาเหตุในข้อนี้มักเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ที่เกิดจากความผิดปกติในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย จนทำให้เกิดภาวะซีด
ภาวะซีดในเด็กทารกแรกเกิด
ภาวะซีดไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้ใหญ่หรือในเด็กโตแล้วเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดกับทารกแรกเกิดได้อีกด้วย แต่กับเด็กทารกแรกเกิดนั้น มักไม่ได้มีสาเหตุมาจากการขาดธาตุเหล็กแบบเด็กโต แต่จะมี 3 สาเหตุหลัก ดังนี้
- ซีดจากการเสียเลือด เป็นการเสียเลือดตั้งแต่ก่อนคลอด จากการถ่ายเทเลือดไปที่รกหรือถ่ายเทเลือดไปที่ฝาแฝดร่วมรกในกรณที่เป็นฝาแฝด หรืออาจเป็นการเสียเลือดระหว่างการคลอด จากการทำคลอดหรือจากการถ่ายเทเลือดไปที่สายสะดือ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อตัวทารกหลังคลอดได้
- เม็ดเลือดแดงแตก เช่น โรคผนังเซลล์ของเม็ดเลือดแดงผิดปกติ หรือเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดอัลฟ่า หรือเม็ดเลือดแดงแตกจากการที่มีภูมิคุ้มกันทำลายเม็ดเลือดแดง ในกรณที่เลือดแม่และลูกไม่เข้ากัน
- ซีดจากการที่ทารกผลิตเม็ดเลือดแดงได้น้อยกว่าปกติ เช่น มีความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดงแต่กำเนิด สร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อยลงจากการติดเชื้อ หรือจากภาวะคลอดก่อนกำหนด
ภาวะซีดในเด็ก ยิ่งปล่อยไว้ ยิ่งรุนแรง
หากคุณพ่อคุณแม่พบว่า ลูกน้อยของคุณมีภาวะซีด ก็ไม่ควรปล่อยไว้จนนานเกินไป เพราะถ้าอาการดังกล่าวไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลร้ายต่อพัฒนาการของลูกน้อยได้
- ส่งผลให้สมองทำงานช้าลง เพราะสมองจะได้รับออกซิเจนจากเม็ดเลือดแดงน้อยลง ทำให้เด็กไม่กระฉับกระเฉง มีการเฉื่อยชา เรียนรู้ช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน
- ภาวะซีดทำให้ลูกน้อยเบื่ออาหาร กินอาหารได้น้อย ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหาร สุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยง่าย
- หากเป็นภาวะซีดที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก จะทำให้เด็กมีกระดูกที่ไม่แข็งแรง เปราะง่าย และอาจตัวเตี้ยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกัน
การวินิจฉัย แพทย์จะทำการวินิจฉัยผู้ที่มีภาวะซีดด้วยการตรวจเลือด เพื่อดูค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงและวินิจฉัยภาวะซีด และพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม
การรักษา แบ่งเป็น 2 กรณีย่อย ในกรณีแรกที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก แพทย์จะพิจารณาให้ยาเสริมธาตุเหล็ก เพื่อรักษาภาวะซีดอย่างเหมาะสม แต่ในกรณีของโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง จำเป็นต้องรักษาด้วยการให้เลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากภาวะซีดขั้นรุนแรง
การป้องกัน ให้ลูกน้อยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่าให้ขาดอาหารที่มีธาตุเหล็ก ซึ่งจะพบมากในเนื้อแดง ไข่แดง เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว ธัญพืช นม เท่านี้ก็พอจะลดความเสี่ยงของการเป็นภาวะตัวซีดได้บ้างแล้ว
ทั้งหมดนี้คือเนื้อหาของ ภาวะซีดในเด็ก ที่ Happybabys นำเสนอ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองสังเกตอาการลูกน้อยได้ด้วยตนเอง หากสงสัยว่าลูกน้อยของท่านมีอาการซีด ควรรีบพาตัวลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย เพื่อไม่ให้อาการส่งผลกระทบต่อตัวลูกน้อย