โรค RSV

โรค RSV ในเด็กอันตรายกว่าที่คิด

โรค RSV ในเด็กอันตรายกว่าที่คิด ช่วงนี้สภาพอากาศเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นปลายฝนต้นหนาวแล้ว ดังนั้นช่วงนี้เราจึงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะร่างกายจะเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ หนึ่งในโรคสำคัญที่พบบ่อยช่วงนี้ก็คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSVซึ่งอาจมีอาการเหมือนกับไข้หวัดธรรมดาทั่วไป แต่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เพราะฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท เรามาทำความรู้จักโรคนี้กัน

โรค RSV

โรค RSV คืออะไร?

RSV ( Respiratory Syncytial Virus ) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดในเด็กเล็กๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งในประเทศไทยมักพบการระบาดของโรคนี้ได้บ่อยในช่วงฤดูฝน หรือในช่วงของปลายฝนต้นหนาว

โรค RSV สามารถติดต่อทางไหนได้บ้าง

สำหรับการติดต่อของเชื้อไวรัส RSV สามารถติดต่อกันได้ผ่านสารคัดหลั่งในร่างกาย เช่น น้ำลาย, น้ำมูก, การไอและจาม โดยเฉพาะจากการสัมผัส ซึ่งหากได้รับเชื้อโรคนี้เข้าไป ระยะฟักตัวจะอยู่ที่ประมาณ 5 วัน โดยในช่วง 2 – 4 วันแรก จะมีอาการคล้ายๆ กับเป็นไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ น้ำมูกไหล ไอและจาม เป็นต้น

และเมื่อเชื้อโรคเติบโตมากขึ้นก็จะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ทำให้เกิดการอักเสบตามมา นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดกล่องเสียงอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ และโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบได้ ในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการถึงขั้นรุนแรง เช่น มีไข้สูงมาก, ไอแรง, มีเสมหะในลำคอในปริมาณมาก, มีอาการหอบเหนื่อย และหายใจดังมีเสียงครืดคราด เป็นต้น

โดยอาการที่ต้องพึงเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส, ไอแรงจนอาเจียน, หายใจเร็วและมีอาการหอบจนชายโครงหรือหน้าอกบุ๋ม, หายใจติดขัด, หายใจออกลำบาก หรือมีเสียงหายใจวี้ดออกมา ( Wheezing ) รับประทานอาหารหรือดื่มนมได้น้อย, ซึม, และปากซีดเขียว เพราะผู้ป่วยอยู่ในอาการหนักขั้นรุนแรง ซึ่งมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน

โรค RSV

การรักษาโรค RSV

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรค RSV ได้โดยตรง แต่จะใช้วิธีการรักษาไปตามอาการที่เป็น เช่น ให้ยาลดไข้ ให้ยาแก้ไอ ยาละลายเสมหะ และในเด็กบางรายจะมีเสมหะที่เหนียวหนืดมาก ดังนั้นก็จะมีการพ่นยาเพื่อขยายหลอดลมให้ผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย หรือทำการเคาะปอดและดูดเสมหะออกมา ก็จะช่วยลดอาการรุนแรงของการไอและอาการหายใจเหนื่อยหอบลงได้

โรค RSVนี้มักจะใช้เวลาในการพักฟื้นจากอาการไข้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ เนื่องจากไวรัสชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดาๆ ไปจนถึงอาการขั้นรุนแรงจนกลายเป็นปอดบวม ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ และเชื้อไวรัสชนิดนี้เมื่อหายดีแล้วก็อาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากว่าร่างกายอยู่ในช่วงอ่อนแอ

โรค RSV

การป้องกันโรค RSV

  • สำหรับวิธีการป้องกันโรค RSV นั้นสามารถทำได้ โดยการหมั่นรักษาความสะอาดอยู่เสมอ โดยที่ผู้ปกครองควรใส่ใจเรื่องการดูแลความสะอาดให้ดีๆ หมั่นล้างมือตนเอง และให้ลูกน้อยล้างมือบ่อยๆ เพราะการล้างมือให้สะอาดสามารถลดเชื้อโรคที่ติดมากับมือได้ทุกชนิดเกือบร้อยละ 70
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกถูกสุขลักษณะและครบ 5 หมู่
  • ให้เด็กๆ ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
  • ควรออกกำลังกายในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก และไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เพราะปกติแล้วผู้ใหญ่มักไม่ค่อยเป็นโรคนี้เท่าไหร่นัก เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอ แต่ผู้ใหญ่ก็มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคนี้ได้หากไม่ได้ล้างมือให้สะอาด และอาจทำให้เด็กเล็กติดเชื้อจากผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
  • หากบ้านไหนที่ลูกน้อยมีอาการป่วย ก็ควรแยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ ไม่ให้อยู่ในพื้นที่แออัด และหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของใช้ส่วนตัว อย่าลืมแยกไว้ต่างหากด้วยเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อโรคซ้ำ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่มีลูกเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลแล้ว หากลูกน้อยมีอาการป่วยก็ควรให้หยุดเรียนไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้นและหายจนเป็นปกติ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรค

และนี่ก็คืโรค RSV ในเด็ก ที่มักพบบ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งในประเทศไทยมักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงร่างกายคนเราก็จะอ่อนแอป่วยง่ายกว่าปกติ ถึงแม้ว่าในผู้ใหญ่ภูมิคุ้มกันจะแข็งแรงกว่าและพบการติดเชื้อโรคนี้ได้น้อยกว่าก็อย่าชะล่าใจไป ควรล้างมือบ่อยๆ และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เพราะหากประมาทละเลย เด็กเล็กก็อาจติดเชื้อโรคจากผู้ใหญ่ได้

แชร์บทความนี้
Scroll to Top